10ม.ค.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์suthichaiyoon.com ได้เสนอบทวิเคราะห์เรื่อง โจมตี"คะฉิ่น" ภาพช่องว่างรัฐบาลพม่า-กองทัพ ความว่า One World ของสุทธิชัย หยุ่น เชื่อว่า การโจมตี "คะฉิ่น" ที่สะท้อนภาพช่องว่างรัฐบาลพม่า และกองทัพ ท่ามกลางการสู้รบระหว่างพม่ากับชาวคะฉิ่นที่ยังคงดำเนินไปอย่างหนักตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ยังคงเป็นบททดสอบในการเปิดประเทศ และเป็นโจทย์ "การบ้าน" ที่ฐบาลพม่าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้เกิดการปรองดองในชาติ
ใครอยู่ใกล้ทางเหนือของไทยติดกับชาวแดนพม่า คงจะได้ยืนเสียงระเบิด เพราะรัฐบาลออกมายอมรับว่าได้ยิงถล่มรัฐคะฉิ่น
โดยรัฐคะฉิ่นนั้น เป็น 1 ใน 7 รัฐอิสระในพม่า ที่ประกอบด้วย รัฐคะฉิ่น รัฐกะยา รัฐกะเหรี่ยง รัฐชิน รัฐฉาน รัฐมอญ รัฐยะไข่ โดยที่ปัจจุบันรัฐคะฉิ่นเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มสำคัญกลุ่มเดียวในพม่า ที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า
แต่ที่น่าแปลก คือ เมื่อสองสามวันก่อน รัฐบาลเต็งเส่ง บอกว่า ไม่มีการยิงต่อสู้กัน แต่ต่อมาสองวันกองทัพบอกว่ามี เพราะคะฉิ่นโจมตีฐานที่มั่นทหารของกองทัพพม่าก่อน
ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า ประธานาธิบดีเต็งเส่ง สามารถควบคุมกองทัพได้หรือไม่ โดยที่มีคำถามเกิดขึ้นว่่า หนึ่ง ทำไมไม่สามารถเจรจากับคะฉิ่น เพื่อให้มีการปรองดองเกิดขึ้น และสอง การทำงานระหว่างรัฐบาลและกองทีพมีเอกภาพหรือไม่ รัฐบาลสั่งกองทัพได้หรือไม่ รวมทั้งพูดจาเรื่องเดียวกันหรือไม่
ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ เป็นการสะท้อนว่า รัฐบาลพท่ายังมีการบ้านที่ต้องทำอีกเยอะ เป็นยังเป็นบททดสอบนโยบายในการเปิดประเทศของพม่าอีกด้วย
ขณะที่ชนกลุ่มน้อยชาวคะฉิ่นในพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามระหว่างกบฏชาวคะฉิ่น ที่ต่อสู้เรียกร้องอำนาจในการปกครองตนเอง กับทหารรัฐบาลพม่า ได้บอกเล่าถึงความน่ากลัวของการสู้รบ
การสู้รบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นับตั้งแต่ที่เปิดฉากขึ้นเมื่อ 19 เดือนก่อน ทำให้ชีวิตของชาวคะฉิ่นอพยพราว 1 แสนคน ทวีความยากลำบากมากขึ้น ผู้อพยพจำนวนมาก พักอาศัยอยู่ตามค่ายผู้อพยพทั้งในเมือง ไลซา และเขตใกล้เคียง ซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มกบฏ
ผู้ดูแลค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งบอกว่า ใกล้ๆกับค่ายพัก ยังมีการสู้รบกันอย่างหนัก และทุกคนที่นี่ก็กลัวกันมาก และถ้ารัฐบาลใช้ปืนใหญ่ กระสุนก็อาจลอยมาตกที่นี่ได้
ในแถลงการณ์ ฝ่ายรัฐบาลบอกว่า มีการออกคำสั่งให้ยุติการโจมตีกองกำลังกบฏทั้งหมดแล้ว แต่กองทัพยังจำเป็นต้องปกป้องทหารรัฐบาลอยู่ ในเมื่อกลุ่มกบฏยังคงเดินหน้าซุ่มโจมตี และวางระเบิด แต่รัฐบาลกำลังใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด
การต่อสู้รอบใหม่นานกว่า 19 เดือน ทวีความดุเดือดอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส เมื่อกลุ่มกบฏปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัฐบาลที่ต้องการให้ขบวนรถเสบียงผ่านไปยังฐานทัพทหาร โดยกบฏให้เหตุผลว่า เสบียงดังกล่าวอาจจะมีกระสุนปืนรวมอยู่ด้วย และอาจจะนำมาใช้โจมตีกองบัญชาการของพวกเขาได้ จากนั้น กองทัพก็ส่งเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธปืน โจมตีและยึดที่มั่นของกบฏ
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลพม่าเสนอหยุดยิงกับกบฏคะฉิ่น หลังถูกโลกวิจารณ์กรณีโจมตีทางอากาศถล่มกบฏ
ทั้งนี้ รัฐบาลพม่าเสนอให้มีการหยุดยิงระหว่างกองทัพและกบฏรัฐคะฉิ่น หลังการโจมตีทางอากาศต่อฐานบัญชาการกบฏอย่างหนักตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทำให้ถูกวิจารณ์จากนานาชาติ
โดยพลตรี จ่อ เตย์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดี เปิดเผยวันนี้ว่า รัฐบาลได้ติดต่อกับองค์กรอิสรภาพคะฉิ่นและกองทัพเอกราชคะฉิ่นเพื่อเจรจาหยุดยิง แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ และย้ำว่าทั้งสองฝ่ายควรมีการหารือกันตัวต่อตัวเพื่อยุติการสู้รบ
ท่าทีของทางการพม่ามีขึ้นหลังจากได้รับแรงกดดันจากนานาชาติให้ยุติการโจมตีทางอากาศอย่างหนักต่อกบฏคะฉิ่นในภาคเหนือช่วงหลายวันนี้ และสำนักข่าวบีบีซีได้เผยแพร่ภาพการโจมตีที่ถ่ายไว้ได้โดยกลุ่มฟรี เบอร์ม่า เรนเจอร์ส พร้อมกับรายงานว่าดูเหมือนกองทัพจะปฏิบัติการเกินกว่าคำสั่งของประธานาธิบดีเต็ง เส่งที่ให้ใช้กำลังเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น
การสู้รบระหว่างกบฏและทหารเริ่มขึ้นระลอกใหม่เมื่อปี 2554 หลังหยุดยิงมานาน 17 ปี และล่าสุดนับตั้งแต่ 28 ธ.ค.ปีที่แล้วเป็นต้นมา กองทัพพม่าเปิดฉากการโจมตีทางอากาศต่อกองกำลังของคะฉิ่นในเมืองไลซา ที่อยู่ตรงพรมแดนระหว่างรัฐคะฉิ่นและจีน กบฏอ้างว่ากองทัพใช้เครื่องบินขับไล่ที่ผลิตในจีนและเฮลิคอปเตอร์กันชิพทิ้งระเบิดขนาดเล็กและสารเคมีบางชนิดใส่ฐานบัญชาการของกบฏ ทำให้สมาชิกฝ่ายกบฏกว่า 40 คนต้องเข้าโรงพยาบาลหลังสูดกลิ่นก๊าซจากสารเคมีเข้าไป แต่หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบประธานาธิบดีบอกว่าไม่ได้ใช้เครื่องบินขับไล่ในการโจมตี ใช้เพียงเครื่องบินสำหรับฝึกบิน และไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน
ขณะที่นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ประณามการโจมตีของกองทัพพม่า และเรียกร้องให้ทางการพม่ายุติการกระทำใดๆที่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตพลเรือนในพื้นที่ดังกล่าวและหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย และโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแสดงความห่วงใยต่อความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น และเรียกร้องให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและกบฏยุติการสู้รบ และหันหน้าเจรจากัน
นอกจากนี้ มีรายงานว่าการสู้รบในรัฐคะฉิ่นครั้งล่าสุดทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีเต็งเส่ง มีอำนาจควบคุมกองทัพหรือไม่ หลังจากเขามีคำสั่งตั้งแต่ปีที่แล้วให้กองทัพยุติการสู้รบกับกบฏชนกลุ่มน้อย