วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
พระเจ้าตากสิน มหาราช พระราชประวัติ
๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ วันพระเจ้าตากสินมหาราช
ขอน้อมคารวะด้วยความเคารพที่กู้ชาติไทยมาได้ครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบรมนามาภิไธย สิน
ราชวงศ์ธนบุรี
ครองราชย์ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 - 6 เมษายน พ.ศ. 2325
บรมราชาภิเษก 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310
ระยะครองราชย์ 15 ปี
รัชกาลก่อนหน้า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
รัชกาลถัดไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
วัดประจำรัชกาล วัดอินทารามวรวิหาร[1]
ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ 22 มีนาคม พ.ศ. 2277[2] หรือ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 บางตำนาน*
สวรรคต 6 เมษายน พ.ศ. 2325[3]
พระราชบิดา หยง แซ่แต้ (鄭鏞)[4]
พระราชมารดา นกเอี้ยง ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์
พระมเหสี สมเด็จกรมหลวงบาทบริจา (สอน)
พระราชโอรส/ธิดา 30 พระองค์[5]
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (จีน: 鄭昭; พินอิน: Zhèng Zhāo; แต้จิ๋ว: Dênchao)
มีพระนามเดิมว่า สิน (ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน)[6]
พระราชบิดาเป็นจีนแต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง
ภายหลังเป็นกรมสมเด็จพระเทพามาตย์
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัยอาณาจักรธนบุรี
ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา[7] เมื่อวันที่ 28
ธันวาคม พ.ศ. 2310 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
เมื่อมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา รวมสิริดำรงราชสมบัติ 15 ปี
พระราชโอรส-พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์[5]
พระราชกรณียกิจที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ
การกอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
โดยขับไล่ทหารพม่าออกจากราชอาณาจักรจนหมดสิ้น
และยังทรงทำสงครามตลอดรัชสมัยเพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของขุนศึกก๊กต่าง
ๆ ให้เป็นปึกแผ่น เช่นเดียวกับขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ
ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา
ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา
เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทย
รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีเป็น
"วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน" และยังทรงได้รับสมัญญานามมหาราช
พระปรมาภิไธย
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระนามเรียกที่แตกต่างกัน ดังนี้
• เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงใช้พระนามว่า: "พระศรีสรรเพชร
สมเด็จบรมธรรมิกราชาธิราชรามาธิบดี บรมจักรพรรดิศร บวรราชาบดินทร์
หริหรินทร์ธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลย์ คุณรุจิตร ฤทธิราเมศวร
บรมธรรมิกราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพ ตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเชษฏวิสุทธิ์
มกุฏประเทศคตา มหาพุทธังกูร บรมนาถบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ
กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกนพรัฐ
ราชธานีบุรีรมย์อุดมพระราชนิเวศมหาสถาน"[8]
• พระราชพงศาวดาร กรุงศรีสัตนาคนหุต เรียกว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ
• พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เรียกว่า พระบรมหน่อพุทธางกูรเจ้า
• จดหมายเหตุกรุงธนบุรีในสมุดไทยดำ
ชื่อพระราชสาสน์และศุภักษรโต้ตอบกรุงธนบุรีและกรุงศรีสัตนาคนหุตจุลศักราช
1140 ใช้ พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร และ
พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทอิศวรบรมนาถบรมบพิตร
• ตอนปลายรัชกาล พระรัตนมุนี ได้ถวายพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระสยามยอดโยคาวจร
• พระราชพงศาวดาร ฉบับราชหัตถเลขา เรียกว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4
• พระนามที่เรียกกันตามหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป เรียกว่า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
• ประชาชนทั่วไปขนานนาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระราชประวัติก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์
พระราชสมภพและขณะทรงพระเยาว์
ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีชาวจีนแต้จิ๋วคนหนึ่งนามว่า
หยง แซ่แต้[4] (นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายว่า ไหฮอง หรือ ไหยฮอง
เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแต้จิ๋ว
มิใช่ชื่อของพระราชบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) [4]
เป็นผู้อพยพมาจากเมืองเฉิงไห่ ซัวเถา[9] ครั้นเมื่อถึงวันที่ 22 มีนาคม
พ.ศ. 2277 ได้มีบุตรชายคนหนึ่ง ได้ชื่อว่า สิน เกิดแต่ นาง นกเอี้ยง
ซึ่งเป็นชาวไทย ผู้ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานศักดิ์เป็น
กรมสมเด็จพระเทพามาตย์[10]
สำหรับถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นน่าจะเกิดในแถบภาคกลางมากกว่าเมืองตาก
ซึ่งมักว่ากันว่าอยู่ในกรุงศรีอยุธยา[11]
จากหลักฐานที่อาลักษณ์ของจีนจดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารวงเช็ง
แผ่นดินจักรพรรดิเฉียนหลง กล่าวถึงพระราชประวัติของพระองค์ไว้ว่า
"บิดาเจิ้งเป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง ไปทำมาค้าขายอยู่ที่เสียมล่อก๊ก
[ประเทศไทย] และเกิดเจิ้งเจา [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี; สำเนียงปักกิ่ง]
ที่นั่น เมื่อเจิ้งเจาเติบใหญ่ เป็นผู้มีความสามารถ
ได้เข้ารับราชการอยู่ในเสียมล่อก๊ก เมื่อเจิ้งเจารบชนะพม่า ฯ แล้ว
ราษฎรทั่วประเทศยกขึ้นเป็นเจ้าครองประเทศ..." [12]
สำหรับการศึกษาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่แน่ชัด
แต่คาดว่าน่าจะทรงได้เคยบวชเรียนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ทำให้ทรงสามารถแต่งกลอนบทละครและอุดหนุนการเก็บรวบรวมคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาในภาษาไทยและภาษาบาลีครั้นเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว[13]
ส่วน อภินิหารบรรพบุรุษ ระบุว่า
เด็กชายสินได้เล่าเรียนหนังสือในวัดโกษาวาส สำนักของพระอาจารย์ทองดี
อีกทั้งยังได้อุปสมบท
และยังศึกษาภาษาต่างประเทศเป็นจำนวนมากในระหว่างเป็นมหาดเล็ก[14]
เพียงแต่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าพระองค์ทรงตรัสได้ 4 ภาษา คือ ไทย จีน
ญวน และลาว[13]
อาชีพค้าขาย
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายว่า
พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะประกอบอาชีพค้าขายเป็นหลัก
มิใช่นายอากรบ่อนเบี้ย
เป็นคำอธิบายที่ว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงประมูลอากรสืบต่ออาชีพจากบิดา
จึงน่าจะเป็นพ่อค้าเกวียนมากกว่า[15] ทั้งนี้
พระองค์และพรรคพวกเป็นกลุ่มพ่อค้าเร่ร่อนในแถบหัวเมืองเหนือ[16]
การเป็นพ่อค้าดังกล่าวทำให้พระองค์มีชาวจีนเข้ามาสมัครเป็นพรรคพวก
และมีความเชี่ยวชาญในภูมิอากาศและภูมิประเทศแถบหัวเมืองเหนือ
และทำให้ทรงมีความสามารถด้านการรบอีกทางหนึ่ง[17]
การค้าขายดังกล่าวจึงเป็นโอกาสให้พระองค์สามารถเป็นเจ้าเมืองตากได้
ซึ่งตรงกับตามประสงค์ที่จะเป็นเจ้าเมืองของพระองค์ด้วยเช่นกัน[18]
รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
สำหรับการรับราชการเป็นเจ้าเมืองตากนั้น
พระราชพงศาวดารฉบับหนึ่งได้กล่าวไว้ในทำนองว่า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงวิ่งเต้นให้ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองตาก
โดยติดต่อผ่านทางมหาดเล็กถึงพระยาจักรี
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงทราบว่าเจ้าเมืองตากคนก่อนป่วยตาย
จึงให้พระยาจักรีหาผู้มีสติปัญญาพอจะรับตำแหน่งแทน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้เป็นเจ้าเมืองตาก[19]
ส่วนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวินิจฉัยว่า
พระองค์ทรงเคยเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตากก่อนที่จะทรงได้รับการเลื่อนตำแหน่ง[20]
ครั้นเมื่อกองทัพพม่ายกมารุกรานกรุงศรีอยุธยา ได้ยกทัพผ่านเมืองตาก
พระยาตากเห็นสู้ไม่ไหวจึงได้นำไพร่พลลงมาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา[21]
ทั้งยังปรากฏในพงศาวดารว่า พระยาตากมีความชอบในการนำทหาร 500 นาย
มาช่วยป้องกันพระนคร จึงได้รับพระราชทานของบำเหน็จ[22]
ในระหว่างการปิดล้อมนั้นก็ได้ปรากฏฝีมือเป็นนายทัพเข้มแข็ง
ปฏิบัติงานตามคำสั่งของราชการ
ตั้งตนเป็นใหญ่และกอบกู้เอกราช
เส้นทางเดินทัพของเจ้าตากครั้งกอบกู้เอกราช
เดือนยี่ พ.ศ. 2309 ขณะพระยาตากตั้งค่ายอยู่ในค่ายวัดพิชัย[23]
ก็ได้รวบรวมไพร่พลจำนวนหนึ่ง (มักระบุเป็น 500 นาย)
มุ่งหน้าไปทางเมืองระยอง ทางหัวเมืองฝั่งทะเลด้านตะวันออก[24]
ระหว่างเส้นทางที่ผ่านไปนั้นได้ปะทะกับกองกำลังของพม่าหลายครั้ง
แต่ก็สามารถตีฝ่าไปได้ทุกครั้ง
และสามารถรวบรวมไพร่พลตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ได้มากขึ้น
หลังจากพระองค์ยึดเมืองระยองได้
ขณะพระยาวชิรปราการพักอยู่บริเวณวัดลุ่มมหาชัยชุมพล[25]
ได้เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์พายุหมุนจนบิดต้นตาลเป็นเกลียวโดยไม่คลายตัว
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ตาลขด[26]
บรรดาทหารทั้งหลายต่างก็ยกพระยาวชิรปราการเป็น เจ้าตาก[27]
มีศักดิ์เทียบเท่าพระบรมวงศานุวงศ์ อย่างไรก็ตาม
ก็อาจพิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองได้เช่นกันว่า
พระยาตากประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินนับตั้งแต่ยกทัพออกจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว[28]
เจ้าตากมุ่งยึดเมืองจันทบูร[29] ซึ่งก่อนเข้าตีเมือง
ได้มีรับสั่งให้ทหารทุกคนทำลายหม้อข้าวให้หมด
หมายจะให้ไปกินข้าวในเมืองจันทบูร[30] จนตีได้เมืองจันทบูรเมื่อวันที่ 15
มิถุนายน พ.ศ. 2310[31] หลังจากนั้น
ก็มีผู้คนสมัครใจเข้ามาร่วมด้วยกับพระองค์เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเมืองจันทบูรและเมืองตราดไม่ถูกยึดครองโดยทหารพม่า
เจ้าตากทรงรวบรวมกำลังพลจนมีจำนวน 5,000 นาย
จึงได้ยกกองทัพเรือออกจากจันทบูร ล่องมาตามฝั่งทะเลในอ่าวไทย
จนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อสู้จนยึดธนบุรีคืนจากพม่าได้ นายทองอิน
เจ้าเมืองธนบุรีซึ่งพม่าแต่งตั้งให้นั้น ถูกประหารชีวิต[32][33]
ต่อจากนั้น ได้ยกกองทัพเรือต่อไปถึงกรุงศรีอยุธยา
เข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้นจนสามารถขับไล่ทหารพม่าออกจากอาณาจักรได้
และสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากการยึดครอง
ใช้เวลาเพียงเจ็ดเดือนหลังเสียกรุง[34]
ปราบดาภิเษก
การปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนุบรี
ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และการเมืองเป็นสำคัญ[35] ทำให้เจ้าตากมา
"ยับยั้ง" อยู่ ณ เมืองธนบุรี ซึ่งมีลักษณะเป็นราชธานีไม่ถาวร[36]
ก่อนหน้านั้น เมืองธนบุรีถูกทิ้งร้าง
มีต้นไม้ขึ้นและซากศพทิ้งอย่างเกลื่อนกลาด
ทำให้ต้องมีการเกณฑ์แรงงานจัดการพื้นที่ขึ้นมาใหม่[37]
เจ้าตากยังมีรับสั่งให้คนไปอัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยตอนปลายอยุธยาจากเมืองลพบุรีมายังเมืองธนบุรี
และได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศตามโบราณราชประเพณี[38][39]
หลังจากที่อพยพผู้คนและทรัพย์สินลงมาทางใต้และตั้งราชธานีใหม่ขึ้นที่เมืองธนบุรี
เรียกนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร
เจ้าตากทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ตามแบบพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่า
จดหมายเหตุโหรระบุว่าเป็นวันอังคาร แรมสี่ค่ำ จุลศักราช 1129
ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 เฉลิมพระนามว่า
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4[40] ในขณะที่ยังทรงมีพระชนมายุ 34 พรรษา
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้มีผู้ที่มีแนวคิดต้องการรื้อฟื้นราชอาณาจักรอยุธยาขึ้นมาใหม่มาเข้าร่วมด้วยกับชุมนุมของพระองค์เป็นอันมาก
ทำให้สถานะพระมหากษัตริย์ของพระองค์เด่นชัดยิ่งขึ้น[40]
อีกทั้งพระองค์ยังทรงเริ่มประกอบพระราชกรณียกิจตามแบบอย่างพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อแสดงถึงสิทธิธรรม[40]
การเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานียังถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายจากสงครามกับพม่าด้วย[41]
หลังจากทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังกรุงธนบุรี หรือ พระราชวังเดิมขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2310
เป็นพระราชวังหลวงซึ่งใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการ พร้อมกับปรับปรุง
"ป้อมวิไชยเยนทร์" และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ป้อมวิไชยประสิทธิ์"
ตำแหน่งของพระราชวังนี้เป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์
สามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล
อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญอีกด้วย
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองทัพเรือ [42]
ภาพจิตรกรรมการรบที่บางแก้ว
ครั้นพระเจ้ามังระทราบข่าวว่ามีคนไทยตั้งตนเป็นใหญ่อีกครั้ง
จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ แมงกี้มารหญ้า[43] เจ้าเมืองทวาย
ยกทัพมาปราบปราม กองทัพพม่ายกมาถึงอำเภอบางกุ้ง
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงธนบุรี มีกำลังตามพระราชพงศาวดาร 2,000
คน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จนำกองทัพออกตีพม่าจนแตกพ่าย
กิตติศัพท์ที่ทรงรบชนะ
ทำให้พระราชอำนาจทางการเมืองในภาคกลางยิ่งเข้มแข็งยิ่งขึ้น[44]
รวมชาติ
จากผลของการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ทำให้อาณาจักรอยุธยาไม่อาจกลับมาตั้งใหม่เป็นอาณาจักรของคนไทยได้อีก
ทั้งยังเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจและความปลอดภัยในชีวิตตามมา
ซึ่งตามทัศนะของนิธิ เอียวศรีวงศ์นั้น ได้อธิบายว่า
มีการรวมกลุ่มของประชาชนขึ้นด้วยวัตถุประสงค์แตกต่างกัน
แต่สำคัญคือเพื่อเอาชีวิตรอด นอกจากนี้ กลุ่มการเมือง หรือ "ชุมนุม"
ขนาดใหญ่ ๆ นั้นยังแตกออกเป็น 4-6 ก๊กใหญ่
แต่ไม่มีก๊กใดเลยที่คิดจะกอบกู้เอกราชหรือฟื้นฟูชาติกลับคืนมาดังเดิม
ราวปี พ.ศ. 2311
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเริ่มจากยกทัพไปตีชุมนุมพิษณุโลกเป็นก๊กแรก
แต่กระสุนปืนต้องถูกพระองค์ จึงต้องยกทัพกลับและรักษาพระองค์ยังพระนคร
ชุมนุมพิษณุโลกนี้ภายหลังอ่อนแอลงจนกระทั่งถูกชุมนุมเจ้าพระฝางผนวกไป
หลังหายจากพระอาการประชวรแล้ว
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงใช้เวลาในการปราบปรามชุมนุมอื่น ๆ
เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นต่อไป โดยเริ่มจากชุมนุมเจ้าพิมาย
กรมหมื่นเทพพิพิธทรงถูกปราบปรามและถูกสำเร็จโทษในปี พ.ศ. 2311[45]
ตามด้วยชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
ซึ่งพระปลัดผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราชได้ตั้งตัวเองขึ้นเป็นเจ้า[46]
เจ้านครศรีธรรมราชสู้ไม่ได้หนีต่อลงไปยังหัวเมืองทางใต้
พระยาปัตตานีกลัวก็จับตัวมาส่งให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[47] ในปี พ.ศ.
2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพไปตีชุมนุมเจ้าพระฝาง
รักษาเมืองสวางคโลกได้เพียง 3 วัน ก็แตกหนี[47]
เมื่อทรงปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ ลงอย่างราบคาบแล้ว
รัฐบาลจีนก็เริ่มให้การยอมรับสถานะพระมหากษัตริย์ของพระองค์อย่างเป็นทางการ[48]
สงครามป้องกันประเทศ
ในปี พ.ศ. 2312 เจ้านายเขมรได้เกิดวิวิทกัน คือ
นักองตนไปขอกองทัพญวณมาตีเขมร
และนักองนนท์สู้มิได้ก็พาครอบครัวหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ณ กรุงธนบุรี
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์กับพระยาอนุชิตราชา
(ตอนนี้เป็นตอนต้นรัชกาล
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยังมียศศักดิ์เพียงพระยาอภัยรณฤทธิ์)
ยกทัพไปตีเขมรและทำการโจมตีได้เมืองเสียมราฐแล้วพักรอฤดูฝนอยู่
พอดีได้ข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
แล้วสิ้นพระชนม์ลง การตีเขมรครั้งนั้นจึงยังไม่เสร็จ
เมื่อชุมนุมเจ้าพระฝางถูกตีแตก อภัยคามณี โปมะยุง่วน
เจ้าเมืองเชียงใหม่ที่พม่าตั้งขึ้น เห็นเป็นโอกาสจะแผ่อาณาเขตลงมา
จึงยกทัพลงมาล้อมสวรรคโลกไว้เมื่อปี พ.ศ. 2313
แม่ทัพธนบุรีรักษาเมืองไว้มั่นคง ครั้นกองทัพธนบุรีที่ยกมาช่วยเหลือ
พอถึงก็เข้าตีกระหนาบพ่ายกลับไป ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเห็นสบโอกาส
ก็ยกทัพขึ้นไปจะตีเอาเมืองเชียงใหม่บ้าง
แต่ล้อมได้เพียงเก้าวันก็ต้องยกถอยกลับลงมา
ระหว่างที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่นั้น
ฝ่ายสมเด็จพระนารายณ์ราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชา
ได้ฉวยโอกาสยกทัพมาตีเมืองตราดและจันทรบูร แต่ถูกตีแตกกลับไป
พอสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบก็ขัดเคือง
หลังจากพักรี้พลพอสมควรแล้วก็ทรงเตรียมทัพจะไปตีกัมพูชา
สามารถเข้าไปจนถึงเมืองบันทายเพชร ราชธานีกรุงกัมพูชา
สมเด็จพระนารายณ์ราชาเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็หนีไปพึ่งญวน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งให้พระรามราชาเป็นพระมหากษัตริย์กัมพูชาต่อไป
แล้วเลิกทัพกลับเมื่อปี พ.ศ. 2314 แต่ต่อมาญวนเกิดกบฎไตเซิน
สมเด็จพระนารายณ์ราชาขาดกำลังสนับสนุน
ก็กลับมาสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระองค์ก็ทรงให้เป็นมหาอุปโยราช มีฐานะรองจากพระรามราชา[47]
ในปี พ.ศ. 2314 นักองตนซึ่งครองเขมรอยู่ได้ข่าวพม่ายกมาตีไทย
จึงถือโอกาสยกทัพมาตีเมืองจันทบุรีและตราด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาจักรียกทัพไปตีเขมร ทัพไทยตีได้เมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง
เมืองบริบูรณ์ เมืองกำพงโสม และเมืองบันทายมาศ
นักองตนพ่ายแพ้หนีไปอยู่กับญวณ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นักองนนท์ครองเขมรสืบไป
ในปีเดียวกันนี้ ได้เกิดวิวาทกันในหมู่เจ้าเมืองแคว้นกรุงศรีสัตนาคนหุต
ฝ่ายหนึ่งสู้ไม่ได้ก็ขอกำลังพม่ามาช่วย พอปราบปรามสำเร็จแล้ว
แม่ทัพพม่าก็ยกทัพมาตั้งที่เชียงใหม่
เมื่กองทัพยกผ่านเมืองน่านก็แบ่งกำลังให้นายทัพหน้าตีเมืองบางส่วนของธนุบรี
ลึกเข้าไปถึงพิชัย ปลายปี พ.ศ. 2315
เจ้าเมืองพิชัยป้องกันเมืองไว้มั่นคงแล้วก็ขอกำลังพิษณุโลกไปช่วย
พอมาถึงก็ออกตีกระหนาบ กองทัพพม่าเป็นฝ่ายแตกกลับไป ในปี พ.ศ. 2316
ได้เกิดเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกัน
และพม่ายกเข้ามาตีเมืองพิชัยอีกครั้งหนึ่ง
แม่ทัพธนบุรีตั้งซุ่มสกัดข้าศึกตรงบริเวณชัยภูมิ
พอมาถึงก็ตีทัพพม่าแตกกลับไป การรบครั้งนี้เองที่เกิดวีรกรรม
พระยาพิชัยดาบหัก[47]
พม่ากับมอญเกิดรบกัน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้ยกทัพไปตีเชียงใหม่อีกครั้ง
ได้พระยาจ่าบ้านกับพระยากาวิละเข้ามาสวามิภักดิ์
เมื่อยกไปถึงเชียงใหม่แล้วก็ตั้งค่ายล้อมไว้
เมื่อทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเดิมตั้งคอยรับชาวมอญที่เมืองตากมาถึงเชียงใหม่แล้ว
ทัพธนบุรีก็ระดมตีค่ายพม่า จนโปมะยุง่วนต้องทิ้งเมืองหนี เสร็จสิ้นในปี
พ.ศ. 2317 เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง
น่านและแพร่ก็ปลอดจากพม่าตั้งนั้บแต่นั้น[47]
ในปี พ.ศ. 2317 หลังจากได้ทำสัญญาสันติภาพกับจีนแล้ว
พระเจ้ามังระก็ทรงส่งทหารมาอีก 5,000 นาย แต่ถูกล้อมที่บางแก้ว ราชบุรี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีดำริให้ตั้งล้อมไว้เฉย ๆ ไม่ให้เข้าตี
และรอจนพม่าเป็นฝ่ายอดอาหารยอมจำนนเอง หลังจากล้อมอยู่นาน 47 วัน
พม่าก็ยอมจำนน โดยพระองค์ทรงหวังว่าจะเป็นการปลุกขวัญคนไทยให้หายกลัวพม่า[47]
อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ. 2318 เป็นสงครามที่ใหญ่มาก
อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญศึก มีอัธยาศัยสุภาพ
ส่วนทางด้านฝ่ายไทยนั้นมีเจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช(บุญมา)
ในการครั้งนี้พม่ายกพลมา 30,000 คนเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก อีก 5,000
คนล้อมเมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ 10,000 คนเท่านี้น
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปช่วยและในที่สุดอะแซหวุ่นกี้ต้องยกทัพกลับ
เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าสวรรคต
กองทัพพม่าส่วนที่ตามไปไม่ทันจึงถูกกองทัพทหารจับ[49]
พระเจ้าจิงกูจาโปรดให้เกณฑ์ทัพพม่ามอญ 6,000 คนยกมาตีเชียงใหม่เมื่อปี
พ.ศ. 2319 พระยาวิเชียรปราการได้พิจารณาแลเห็นว่านครเชียงใหม่ไม่มีพลมากมายขนาดที่จะว่าป้องกันเมืองได้
จึงให้ประชาชนพลเรือนอพยพลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลก
สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาสุรสีห์คุมกองทัพเมืองเหนือขึ้นไปสมทบกองกำลังพระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางยกไปตีเมืองเชียงใหม่คืนสำเร็จ
และทรงให้นครเชียงใหม่เป็นเมืองร้างถึง 15
ปีจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ฟื้นฟูใหม่[50]
หลังจากทัพไทยกลับจากเขมรในปี พ.ศ. 2323 แล้ว
นักองตนก็ยกทัพมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองบันทายมาศ
ส่วนนักองนนท์เกรงกลัวญวณจึงคงตั้งมั่นอยู่ที่เมืองกำปอด
ต่อมาองไกเซนเป็นกบฏยึดญวณไว้ได้ นักองตนสิ้นที่พึ่ง
จึงขอประนีประนอมยอมให้นักองนนท์ครองกรุงกัมพูชา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระรามราชา(นักองนนท์)
เป็นเจ้ากรุงกัมพูชาและพระนารายณ์ราชาธิบดี(นักองตน)
เป็นมหาอุปโยราชและนักองธรรมเป็นมหาอุปราช
ต่อมานักองธรรมถูกลอบฆ่าตายและนักองตนก็เป็นโรคตาย
เป็นที่สงสัยว่าถูกวางยาพิษ
ฟ้าทะละหะเข้าใจว่าพระรามราชาแกล้งฆ่าคนทั้งสอง
จึงพร้อมด้วยข้าราชการรวมกันจับพระรามราชาถ่วงน้ำเสีย
แล้วยกนักองเองราชบุตรขึ้นเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา
มีฟ้าทะละหะเป็นผู้สำเร็จราชการ
ต่อมาฟ้าทะละหะได้เอาใจออกห่างไทยไปฝักใฝ่ญวณ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ กรมขุนอินทรพิทักษ์
ยกทัพไปตีเขมร ตีได้หลายหัวเมืองแล้ว
พอจะตีเข้าเมืองหลวงก็พอดีเกิดการจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรีจำเป็นต้องยกทัพกลับ
การขยายพระราชอาณาเขต
นอกจากขับไล่พม่าออกไปจากอาณาจักรได้แล้ว
สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้ขยายอำนาจเข้าไปในลาว
ได้หัวเมืองลาวเข้ามาอยู่ในอำนาจอาจกล่าวได้ว่า
สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นสมัยแห่งการกู้เอกราชของชาติ
รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
ขับไล่ข้าศึกออกไปจากอาณาเขตไทยและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยของพระองค์
ไทยจึงยิ่งใหญ่เท่าเทียมเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามีความรุ่งเรือง[51]
พ.ศ. 2319 ในขณะที่ไทยติดศึกพม่าที่เมืองพิษณุโลกนั้น
มีเหตุเกิดขึ้นทางนครราชสีมา คือ เจ้าเมืองนางรอง
(ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์)
ซึ่งเป็นเมืองขึ้นต่อนครราชสีมา วิวาทกับพระยานครราชสีมา
แล้วเอาเมืองไปขึ้นต่อเจ้าโอ เมืองนครจำปาศักดิ์ซึ่งตั้งตนเป็นอิสระอยู่
พระยานครราชสีมามีใบ้บอกเข้ามายังกรุงธนบุรี
ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาจักรียกทัพไปปราบ เมื่อปราบได้ให้ประหารเจ้าเมืองนางรองเสีย
เจ้าพระยาจักรีปราบได้สำเร็จ
พอปราบเสร็จสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่าเจ้าโอกับเจ้าอินอุปราช
เมืองนครจำปาศักดิ์เตรียมพล 10,000 นายจะมาตีนครราชสีมา
สมเด้จพระเจ้าตากสินจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพระยาสุรสีห์คุมทัพไปสมทบอีก 1 ทัพและให้ปราบจำปาศักดิ์เสีย
ทัพไทยตีจำปาศักดิ์แตกและจับตัวเจ้าโอกับเจ้าอินได้ที่เมืองสีทันดร
และยังตีได้เมืองอัตตะปือด้วยพร้อมกันนั้น
เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ออกเกลี้ยกล่อมเมืองเขมรป่าดง
ระหว่างจำปาศักดิ์กับนครราชสีมาเป็นพวกได้อีก 3 เมือง คือ สุรินทร์ สังขะ
ขุขันธ์ ทั้ง 3 เมืองยอมเข้าเป็นเขตเมืองไทย
เสร็จศึกครั้งนี้เจ้าพระยาจักรีได้เลื่อนเป็น
"สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ" มีเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม
แผนที่แสดงอาณาเขตประเทศไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พ.ศ. 2321 พระวอเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์เป็นกบฏ
แต่สู้เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตไม่ได้
ก็พาสมัครพรรคพวกหนีมาอยู่ที่ตำบลดอนมดแดง
(จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน) และขอขึ้นต่อไทย
ต่อมาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
ได้ยกทัพมาตีตำบลดอนมดแดงและจับฆ่าพระวอเสีย
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงขัดเคืองมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพ
พร้อมด้วยเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีเวียงจันทน์กองทัพไทยได้แสดงความสามารถตีเมืองเวียงจันทน์ได้
และหัวเมืองลาวทั้งหลายได้พากันมาขึ้นต่อไทย
และในครั้งนี้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางลงมายังกรุงธนบุรีด้วย
การศึกสงครามดังกล่าวนี้
ส่งผลให้พระราชอาณาจักรไทยเป็นเอกราชและมีความมั่นคงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น อาณาเขตของประเทศไทยในสมัยกรุงธนบุรี มีดังนี้
• ทิศเหนือ ตลอดอาณาจักรล้านนา
• ทิศใต้ ได้ดินแดนกลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
• ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาว เขมร จรดอาณาเขตญวน
• ทิศตะวันตก จรดดินแดนเมาะตะมะ ได้ดินแดน เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี[52]
การฟื้นฟูบ้านเมือง
การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้นั้นทำให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่ว
พระเกียรติยศของพระองค์จึงแพร่ไปว่าเป็นผู้สามารถกู้แผ่นดินไทยให้พ้นจากอำนาจพม่าข้าศึกได้
ทำให้ไพร่บ้านพลเมืองที่ยังหลบลี้อยู่ตามที่ต่างๆ
พากันมาอ่อนน้อมเข้าร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นจำนวนมาก
ซึ่งจะเป็นกำลังในการบูรณะบ้านเมืองต่อไป ซึ่งพระราชกรณียกิจมีทั้งหมด 7
ด้าน ดังนี้
ด้านการปกครอง
หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตก กฎหมายบ้านเมืองกระจัดกระจายสูญหายไปมาก
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการสืบเสาะ ค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ 1
ใน 10 และโปรดฯ ให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดฯ
ให้คงไว้ ฉบับใดไม่เหมาะก็โปรดให้แก้ไขเพิ่มเติมก็มี ยกเลิกไปก็มี
ตราขึ้นใหม่ก็มี และเป็นการแก้ไขเพื่อราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น เช่น
โปรดฯ ให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนันให้อำนาจการตัดสินลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตราสิทธิ์ขาด
และยังห้ามนายตรานายบ่อนออกเงินทดลองให้ผู้เล่น
เกาะกุมผูกมัดจำจองเร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษีอากรก็เกือบไม่มี
เพราะผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้าสำเภามากพอแล้ว
กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวงก็ยังไม่ตราขึ้น
เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เฝ้าแหนตามรายทาง
โดยไม่มีพนักงานตำรวจแม่นปืนคอยยิงราษฎร
ซึ่งแม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังชื่นชมในพระราชอัธยาศัยนี้ เช่น มองเซนเยอร์
เลอบอง ได้บรรยายไว้ในจดหมายถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศว่า[53]
บรรดาคนทั้งหลายเรียกพระเจ้าตากว่าพระเจ้าแผ่นดิน
แต่พระเจ้าตากเองว่าเป็นแต่เพียงผู้รักษากรุงเท่านั้น
พระเจ้าตากหาได้ทรงประพฤติเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินก่อน ๆ ไม่
และในธรรมเนียมของพระเจ้าแผ่นดินฝ่ายทิศตะวันออกที่ไม่เสด็จออกให้ราษฎรเห็นพระองค์ด้วยกลัวจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศนั้น
พระเจ้าตากไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย
พระเจ้าตากทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าคนธรรมดา
เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงเกรงว่าถ้าเสด็จออกให้ราษฎรพลเมืองเห็นพระองค์
และถ้าจะทรงมีรับสั่งด้วยแล้วจะทำให้เสียพระราชอำนาจลงแต่อย่างใด
เพราะพระองค์มีพระราชประสงค์ทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วยพระเนตรของพระองค์เอง
และจะทรงฟังการทั้งหลายด้วยพระกรรณของพระองค์เองทั้งสิ้น
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับพระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
คือ แบบพ่อปกครองลูก
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ไม่ถือพระองค์
มักปรากฏพระวรกายให้พสกนิกรเห็น และมักถามสารทุกข์สุขดิบของพนกนิกรทั่วไป
ทรงหาวิธีให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ทำมาหากินโดยปกติสุข
ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดทำไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก
อาจารย์สอนศิษย์ ซึ่งสมกับโคลงยอพระเกียรติของนายสวนมหาดเล็กที่ว่า
พระเดียวบุญลาภเลี้ยง ประชากร
เป็นบิตุรมาดร ทั่วหล้า
เป็นเจ้าและครูสอน สั่งโลก
เป็นสุขทุขถ้วนหน้า นิกรทั้งชายหญิง
เนื่องจากตลอดรัชสมัยของพระองค์
เป็นช่วงเวลาที่มีการทำศึกสงครามเกือบตลอดเวลา
จึงทำให้ไม่มีเวลาที่จะชำระพระราชกำหนดกฎหมายต่าง ๆ
ทำให้ต้องใช้กฎหมายที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
โดยให้กรมวังหรือกระทรวงวังเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณาว่าคดีใดควรขึ้นศาลใด
แล้วส่งคดีไปยังศาลกรมนั้น ๆ โดยได้แบ่งงานศาลออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
• ฝ่ายรับฟ้อง มีหน้าที่ในการเขียนคำฟ้องและพิจารณารูปคดีว่าควรจะฟ้องหรือไม่
ก่อนจะส่งขึ้นศาลเพื่อพิจารณา เรื่องปรับไหมและลงโทษผู้กระทำผิด
• ฝ่ายตรวจสำนวนและพิพากษา
ฝ่ายนี้เดิมเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายแขนงต่าง ๆ จำนวน 12
คน โดยเรียกว่า "ลูกขุน ณ ศาลหลวง"
ต่อมาได้มีคนไทยที่เชี่ยวชาญกฎหมายเข้ามาทำหน้าที่นี้ด้วย คณะลูกขุน ณ
ศาลหลวงนี้จะไม่มีอำนาจในการปรับหรือลงโทษแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์จะทรงใช้ ศาลทหาร
เป็นส่วนใหญ่ โดยในการตัดสินคดีทุกครั้ง
แม้พระองค์จะตัดสินให้ลงโทษสูงสุดแล้ว
แต่ก็จะมีรับสั่งให้ทยอยการลงโทษจากขั้นต่ำสุดก่อน
ซึ่งหลายครั้งจะปรากฏว่านักโทษที่มีความผิดร้ายแรงก็มักจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษหนัก
โดยให้ไปกระทำการอย่างอื่นเป็นการไถ่โทษแทน
• การออกพระราชกำหนดสักเลก พ.ศ. 2316 เพื่อสะดวกในการควบคุมกำลังคน
การขยายอำนาจเข้าไปในดินแดนที่เคยเป็นประเทศราชของไทยในลาวและเขมรเพื่อทำให้ประเทศเข้มแข็งมั่นคง
และการเตรียมการให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ไปปกครองเขมรในฐานะเมืองประเทศราช
[54] แต่ได้เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อนจึงไม่สำเร็จ ส่วนหัวเมืองใหญ่
ๆ ที่เป็นทางผ่านของทัพพม่าก็โปรดให้แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถไปปกครอง
เช่น เจ้าพระยาสุรสีห์ไปครองเมืองพิษณุโลก
เจ้าพระยาพิชัยราชาไปครองเมืองสวรรคโลก
ด้านเศรษฐกิจ
ผลกระทบโดยตรงของสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง คือ
การเกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย[55]
นอกจากนี้เศรษฐกิจยังเสียหายอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากการปล้นสะดม
และเมืองท่าที่สำคัญตกเป็นของพม่าอย่างเด็ดขาดถึงสองเมือง ได้แก่
มะริดและตะนาวศรี และยังเสียปืนใหญ่และปืนคาบศิลารวมหลายหมื่นอีกด้วย[56]
เพื่อที่จะหาทรัพย์มาใช้จ่าย
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกเลิกประเพณีงดเก็บส่วยอากร 3
ปีเมื่อมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์
อันเป็นประเพณีซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[57]
ทรงแจกจ่ายข้าวของเงินทองอันได้มาสี่ครั้ง ได้แก่
เมื่อครั้งตีค่ายชาวบ้านกง ครั้งตีเมืองจันทบุรี
ครั้งปล้นเรือสำเภาพ่อค้าจีนที่ตราด และครั้งตีเมืองนครศรีธรรมราช
สามารถช่วยราษฎรได้หลายหมื่นคน[57]
บรรดาข้าราชการทหารพลเรือนได้รับแจกข้าวสารหนึ่งถังกินยี่สิบวัน
และโปรดให้ซื้อข้าวสารบรรทุกมาขายจากพุทไธมาศ ถังละ 3-5 บาท
เมื่อราษฎรทั้งหลายทราบก็ได้อพยพตามหัวเมืองต่าง ๆ
มายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก[41] ต่อมา
ทรงให้ข้าราชการทั้งหลายทำนาปรังทุกแห่งทุกตำบล ราคาข้าวเริ่มถูกลงใน
พ.ศ. 2311 ก่อนจะกลับมีราคาสูงผิดปกติอีกเมื่อปลายปี พ.ศ. 2312
เนื่องจากมีหนูระบาด[58] เมื่อหนูหายไปแล้ว ราคาข้าวก็กลับลดลงอีก
พระองค์ทรงวางแผนเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวในกรุงธนบุรี โดยในปี พ.ศ. 2314
ทรงให้ปรับพื้นที่สวนป่านอกกำแพงพระนครให้เสมอกันไว้ทำนา
ครั้นบ้านเมืองสงบก็ทรงให้แม่ทัพคุมกองทัพมาทำนา
ซึ่งทำให้กรุงธนบุรีกลายสภาพเป็นแหล่งทำนาแห่งใหม่
และได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ดีที่สุดของประเทศไทย[58]
พระองค์ยังทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรืออย่างเต็มที่
ทรงแต่งสำเภาหลวงออกไปหลายสาย ทางตะวันออกถึงจีน ทางตะวันตกถึงอินเดีย
ผลกำไรจากการค้าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
และมีรายได้จากภาษีเข้าออกของเรือต่างชาติ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังทรงส่งเสริมการนำสินค้าพื้นเมืองไปขาย
ทำให้ราษฎรมีงานทำ มีรายได้
ทั้งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะฝึกให้คนไทยเชี่ยวชาญการค้าขาย
ป้องกันมิให้การค้าตกอยู่ในมือชนต่างชาติ
และรักษาประโยชน์ของสินค้าพื้นเมืองมิให้ถูกทอดทิ้ง
พระองค์ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อประโยชน์ทั้งในด้านความมั่นคงของชาติและประโยชน์ในด้านการค้า[59][60][61]
ด้วยความสัมพันธ์อันดีกับจีน
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกระตุ้นให้ชาวจีนเข้ามาตกรกร้างในธนบุรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเมืองแต้จิ๋ว[62]
ซึ่งบางส่วนมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา[63]
ด้านคมนาคม
ในยุคนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกเลิกความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง
ทางคมนาคมดีมากแล้วจะเป็นการอำนวยประโยชน์ให้ข้าศึกศัตรูและพวกก่อการจลาจล
แต่กลับทรงเห็นเป็นประโยชน์ในทางค้าขายมากกว่า ดังนั้น
ในฤดูหนาวหากว่างจากศึกสงคราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตัดถนนและขุดคลอง จะเห็นได้จากแนวถนนเก่าๆ
ในเขตธนบุรีซึ่งมีอยู่หลายสาย
ส่วนการขุดชำระคลองมักมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์
เช่น คลองท่าขาม จากนครศรีธรรมราชไปออกทะเล เป็นต้น
ด้านการศึกษา
สมัยกรุงธนบุรีเป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อย
การฟื้นฟูการศึกษาจึงทำได้ไม่มากนัก
แต่วัดก็ยังเป็นแหล่งที่ให้การศึกษาอยู่
โดยมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้นที่มีโอกาสศึกษา
เพราะต้องอยู่กับพระที่วัดเรียนหนังสือและได้รับการอบรมความประพฤติ
เรียนพระธรรม ภาษาบาลีสันสกฤต และศัพท์เขมร
เพื่อประโยชน์ในการอ่านคัมภีร์พระพุทธศาสนา นอกจากนี้มีวิชาเลข เน้นมาตรา
ชั่ง ตวง วัด มาตราเงินไทย และการคิดหน้าไม้
ซึ่งจะต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีวิชาช่างฝีมือสำหรับเด็กโต
ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานช่างก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ในการบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะ
และสิ่งก่อสร้างภายในวัด
สำหรับการเรียนวิชาชีพโดยตรงนั้นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่
ใครมีอาชีพอะไรก็ถ่ายทอดวิชานั้นๆ ให้แก่ลูกหลานของตนตามสายตระกูล เช่น
วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาช่างปั้น ช่างถม ช่างแกะสลัก ช่างปูนปั้น
ช่างเหล็ก ช่างเงิน ช่างทอง ส่วนการศึกษาสำหรับเด็กหญิง
จะถือตามประเพณีโบราณคือ เรียนเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว การจัดบ้านเรือน
การฝึกอบรมมารยาทของกุลสตรี สังคมสมัยนั้นไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ
จึงมีน้อยคนที่อ่านออกเขียนได้ [64]
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯให้บำรุงการศึกษาตามวัดต่างๆ
และยังโปรดเกล้าฯให้ตั้งหอหนังสือขึ้นเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา
ซึ่งคงเทียบได้กับหอพระสมุดในระยะหลัง
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯให้แสวงหาและรวบรวมตำราต่างๆ
ที่กระจัดกระจายไปเมื่อคราวกรุงแตกไว้ที่พระอารามหลวงหรือหามาจำลองไว้เป็นแบบฉบับเพื่อใช้ศึกษาเล่าเรียน[65]
ด้านศาสนา
ถึงแม้ว่าในรัชสมัยของพระองค์
บ้านเมืองจะตกอยู่ในภาวะสงครามเกือบตลอดเวลา
แต่พระองค์กลับมิได้ทรงละเลยงานด้านศาสนจักร
ได้ทรงมุ่งมั่นทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา
พระราชกรณียกิจด้านฟื้นฟูพระพุทธศาสนามีดังนี้
• บทสวดมนต์ พุทธชัยมงคลคาถา และสร้างพระยอดธง มีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเล็งเห็นว่า
สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว
จึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้น
แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลา มาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ
และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยการเจริญพาหุงมหากา
จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"[66][67]
• การจัดระเบียบสังฆมณฑล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบสังฆมณฑลทันทีภายหลังการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
ครั้งที่ยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางเมื่อทรงเห็นว่าพระสงฆ์ทางฝ่ายหัวเมืองเหนือมัวหมอง
ก็ไดอาราธนาพระราชาคณะจากในกรุงไปสั่งสอน
ทำให้พระสงฆ์กลับบริสุทธิ์และเป็นปกติสุขขึ้น[67]
• การรวบรวมพระไตรปิฎก
สมเด็จพระเจ้าตากสินยังได้ทรงมุ่งมั่นในการสืบเสาะค้นหาต้นฉบับพระไตรปิฎกที่ยังเหลืออยู่หลังจากเสียกรุง
เพื่อนำมาคัดลอกจำลองไว้สำหรับการสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงต่อไป
ซึ่งจะเห็นได้จากเมื่อคราวที่เสด็จไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชในปี
พ.ศ. 2312 ได้มีรับสั่งให้ขอยืมคัมภีร์
พระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราชบรรทุกเรือเข้ามาคัดลอกในกรุงธนบุรี
และในปีถัดมาในคราวที่เสด็จฯ
ไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝางที่เมืองอุตรดิตถ์ได้โปรดเกล้าฯ
ให้นำพระไตรปิฎกลงมาด้วย
ต้นฉบับที่ได้จากเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยต่อมา[67]
• การสมโภชพระแก้วมรกต
ดูเพิ่มที่ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
ภายหลังจากที่รบชนะเมืองเวียงจันทน์
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกต
และพระบางกลับมายังกรุงธนบุรีด้วย โดยให้จัดขบวนเรือพยุหยาตรามโหฬารถึง
246 ลำ และเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปรับด้วยพระองค์เอง
แล้วให้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม
ต่อมารัชกาลที่ 1 ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวัง [68][67]
• การบูรณะปฏิสังขรณ์วัด สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ
เป็นจำนวนมาก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง
เช่น วัดอินทารามวรวิหาร ,วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร,
วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร ,วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
,วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร ,วัดราชคฤห์วรวิหารและ วัดเสาธงหิน
เป็นต้น[67]
• พระราชกำหนดว่าด้วยศีลสิกขา
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตรากฎหมายว่าด้วยวัตรปฏิบัติในทางธรรมวินัยของพระสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ.
2316 โดยถือเป็นต้นฉบับกฎหมายพระสงฆ์ฉบับแรกของไทย[69]
และทรงนำแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
มาใช้เป็นหลักในการจัดระเบียบสังคมในสมัยนั้นด้วย[70]
และหลังจากกอบกู้แผ่นดินได้แล้ว
พระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศมาจัดถวายพระเพลิงอย่างสมพระเกียรติและยังทรงรับอุปการะบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ในพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทุกพระองค์ด้วยความกตัญญู
[71][67]
ด้านศิลปกรรม
• นาฏดุริยางค์
ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชเมื่อ
พ.ศ. 2312 ได้ทรงนำตัวละครผู้หญิงของเจ้านครศรีธรรมราชเข้ามาเป็นครูฝึกหัดร่วมกับพวกละครที่ทรงรวบรวมได้จากที่อื่น
แล้วจัดตั้งเป็นละครหลวงของกรุงธนบุรี
โดยยึดแบบฉบับการฝึกละครของกรุงศรีอยุธยา
นอกจากนี้ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์
เพื่อให้คณะละครหลวงได้นำไปฝึกหัดออกแสดงด้วย[72] ดังนั้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่เพื่อสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงครึกครื้นเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา
โปรดฯให้ประชาชนทั่วไปเปิดการฝึกสอนและออกโรงเล่นได้อิสระ
เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็น เครื่องต้น เครื่องทรง
ก็แต่งกันได้ตามลักษณะเรื่อง
ส่งผลให้ศิลปะการละครของไทยซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมากตอนปลายอยุธยากลับฟื้นตัวขึ้นใหม่
• ศิลปการช่าง ภาพเขียนที่งดงามประณีตในสมัยธนบุรีที่สำคัญยิ่ง คือ
"สมุดภาพไตรภูมิ" เป็นภาพเขียนที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช
2319 ซึ่งนับได้ว่าเป็นสมุดภาพไตรภูมิขนาดใหญ่เล่มหนึ่งของเมืองไทย
เมื่อคลี่ ออกจะมีความยาวถึง 34.72 เมตร เขียนด้วยสีลงในสมุดทั้ง 2 ด้าน
โดยฝีมือช่างเขียน 4 คน ปัจจุบันได้เก็บ รักษาไว้ ณ
หอสมุดแห่งชาติท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ[73]
• งานฝีมือช่าง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเล็งเห็นว่า
ช่างไทยสมัยธนบุรีมีเหลืออยู่น้อยมากจึงโปรดเกล้าฯ ให้
รวบรวมและฟื้นฟูการช่างสิบหมู่ขึ้นใหม่ แต่เนื่องจากมีเวลาจำกัด
บ้านเมืองอยู่ในระหว่างสงคราม
สิ่งของที่เป็นฝีมือช่างชั้นดีประณีตงดงามในสมัยธนบุรีจึงหาได้ยาก
แต่ที่มีให้เห็นอยู่บ้าง ได้แก่[74]
• พระแท่นบรรทมของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ประดิษฐานอยู่ที่วัดอินทาราม
• พระแท่นสำหรับทรงเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารเล็กหน้าพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
• ตู้ลายรดน้ำ ที่มีศักราชแจ้งชัดว่าสร้างในสมัยกรุงธนบุรี
อยู่ในหอสมุดวชิรญาณ ภายในหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ
• ท้องพระโรงพระราชวังเดิม ซึ่งเคยเป็นที่ประทับและเสด็จออกว่าราชการ
ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของกองทัพเรือ
ด้านอื่น ๆ
• โปรดเกล้าฯให้สร้างพระราชวังเดิม[42]
• พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์วัดซางตาครูซ[75]
• ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างพระเมรุมาศที่ วัดอินทารามวรวิหาร
เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมราชชนนี[76]
พระราชนิพนธ์
เรื่องที่พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ไว้นั้นก็คือ บทละครเรื่องรามเกียรติ์
วันที่ทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ฉบับนี้คือ วันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 1
ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1132 ตรงกับปี พ.ศ. 2313 เป็นปีที่ 3
แห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ 4 เล่มสมุดไทย คือ[72]
• เล่ม 1 ตอนพระมงกุฎ
• เล่ม 2 ตอนหนุมานเกี้ยววารินจนท้าวมาลีวราชมา
• เล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษา
• เล่ม 4 ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์
จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมณโฑ
เสด็จสวรรคต
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2325 ขณะนั้นกรุงธนบุรีมีอายุได้ 15 ปี
พระยาสรรค์กับพวกได้ก่อกบฎ
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งขณะนั้นไปทำศึกกับเขมรจึงกลับมายังกรุงธนบุรี
เห็นว่าความไม่สงบของบ้านเมืองเกิดจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระสติวิปลาส
จึงให้นำไปสำเร็จโทษด้วยการตัดพระเศียร[77] ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์
แล้วฝังพระบรมศพที่วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม) เมื่อวันที่ 6 เมษายน
พ.ศ. 2325 เสด็จสวรรคตขณะมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา สิริรวมครองราชย์ได้ 15
ปี กรุงธนบุรีก็สิ้นสุดลง จากนั้นจึงได้สืบสวนความผิดของผู้ก่อกบฏ
แล้วตัดสินให้นำพระยาสรรค์กับพวกไปประหารชีวิตในเวลาต่อมา[78]
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากแนวคิดดังกล่าวแล้ว ยังมีแนวคิดอื่น เช่น
ที่เสนอว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถูกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทำรัฐประหาร
และแนวคิดที่ว่าพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์และลาผนวชไปยังนครศรีธรรมราช
เป็นต้น
การเฉลิมพระเกียรติ
รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี
ซึ่งตรงกับวันที่พระองค์ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ให้เป็น
"วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
นอกจากนั้นคณะรัฐมนตรียังมีมติให้ถวายพระราชสมัญญานามว่า
"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"[79] นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้บันทึกไว้ว่า
พระองค์ทรงเป็นวีรกษัตริย์ของชาติไทยที่ประชาชนรู้จักดีที่สุด
และมีศาลเทพารักษ์และพระบรมราชานุสาวรีย์ถวายแด่พระองค์มากที่สุดยิ่งกว่าอดีตพระมหากษัตริย์ของไทยพระองค์อื่น
ๆ ทุกพระองค์[80] และรัฐบาลอันมี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเหล่าพสกนิกรชาวไทย
ได้พร้อมใจกันสร้างพระราชอนุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี
ซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีประติมากรรม
มหาวิทยาลัยศิลปากรขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบ
ทางราชการได้ประกอบพระราชพิธีเปิดและถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์ครั้งแรกเมื่อวันที่
17 เมษายน พ.ศ. 2497 และในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2497
จึงมีรัฐพิธีเปิดเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลา ถวายราชสักการะ
ต่อมาทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม
ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสวยราชย์ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทย
เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช[81]
ความสัมพันธ์เชื้อสายจีน
ประตูทางเข้าสุสานบรรจุฉลองพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ตำบลหัวฟู่
อำเภอเฉิงไห่ จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
เนื่องจาก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว
จึงได้รับความเคารพบูชาอย่างยิ่งโดยเฉพาะจากคนไทยเชื้อสายจีน
มีการเรียกพระนามตามภาษาจีนแต้จิ๋วว่า แต่อ่วงกง หมายถึง
กษัตริย์ชาวแต้จิ๋วที่ได้รับการเคารพบูชา [82]
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานข้อมูลแก่หมอสมิท
(นายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ) ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
มีชื่อเรียกขานกันในหมู่ชาวจีนว่า เตีย ซิน ตัด หรือ เตีย ซิน ตวด ซึ่ง
“เตีย” คือ แซ่แต้ “ซิน” คือ สิน “ตัด” คือเมืองตาก
และยังมีชื่อที่ปรากฏว่า เจิ้งกว๋ออิง แปลว่า เจิ้งวีรบุรุษของประเทศ
ตามหลักฐานจีน พระราชบิดาชื่อ ไหฮอง สำเนียง แต้จิ๋วว่า “แต้”
หรือนายไหฮอง แซ่แต้ จากอำเภอไฮ้ฮง หรือจีนกลางว่า ไห่เฟิง
เป็นอำเภอที่อยู่ล่างสุดและเล็กที่สุดของซัวเถา อาชีพหลักคือค้าขาย
ไหฮองแต่งงานกับหญิงไทย ชื่อนกเอี้ยง
(ระบุนามในหนังสือเดิมที่เขียนในเมืองจีนว่า ลั่วยั้ง หรือ นางนกยาง)
ก่อนเสด็จรับราชการเคยทรงประกอบอาชีพค้าขายต่อจากพระราชบิดา
และยังมีหลักฐานที่ส่อว่าเคยทรงเป็นพ่อค้าเกวียน ทรงรับสั่งได้คล่องแคล่ว
ทั้งจีนแต้จิ๋ว จีนกวางตุ้ง และจีนฮกเกี้ยน[83]
อย่างไรก็ตาม ต้วนลี่เซิงได้พบสุสานบรรจุฉลองพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ที่ตำบลหัวฟู่ อำเภอเฉิงไห่ จังหวัดแต้จิ๋ว (เฉาโจว) อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน รวมทั้งศาลประจำตระกูลซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ.
2464 คงเป็นผู้สืบราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ส่งไปฝังแทนพระบรมศพตามธรรมเนียมจีน สิ่งนี้อาจเป็นหลักฐานว่า
สายวงศ์พระราชบิดาอยู่ที่ตำบลนั้น ซึ่งเป็นถิ่นที่แห้งแล้ง
ทำให้อพยพมาอยู่พระนครศรีอยุธยา[84]
........................................................
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม: 1. การทำความสะอาดบ้าน การทำความสะอาดบ้าน ในคลัง ความ รู้ www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul... - แคช ใกล้เคียง คุณ +1 ...
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม: 1. การทำความสะอาดบ้าน การทำความสะอาดบ้าน ในคลัง ความ รู้ www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul... - แคช ใกล้เคียง คุณ +1 ...
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม
ดร.สมัย: วิกฤตเป็นโอกาส ธุรกิจเงินล้านหลังน้ำท่วม: 1. การทำความสะอาดบ้าน การทำความสะอาดบ้าน ในคลัง ความ รู้ www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul... - แคช ใกล้เคียง คุณ +1 ...
ดร.สมัย: แจ้ง มีคนทำสำเนาเพยแพร่ พิมพ์ผิดๆ บริการ คอนโด
ดร.สมัย: แจ้ง มีคนทำสำเนาเพยแพร่ พิมพ์ผิดๆ บริการ คอนโด: ดร . สมัย เหมมั่น ชี้แจ้งมีคนทำสำเนาเพยแพร่ พิมพ์ผิดๆ บริการ คอนโด กระทุ่ม ... www.itishome.in.th/home-detail.php?id_home=49503 - แคช คุณ ...
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554
รวมผลงาน ดร.สมัย เหมมั่น แผนธุรกิจ-การวิจัย ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจ 1,000 ล้าน
Global Management
By Dr. Samai Hemman
Global Information Technology Management Association(GITMA)
Global Management คืออะไร
ทำไมต้อง Global Management
ความสำคัญมีอะไรบ้าง Global Management
ผมได้อะไร จาก Global Management
การทำงานที่มี Global Management
เป็นหัวใจการบริหาร
ผลงานที่มีแต่ความสำเร็จ
The Productivity of Technology is in the organization
By Samai Hemman,DBA in Global Management
The human resources future looks bleak for the IT industry. Why?
Because of a lack of skilled labor. That’s right. Companies and
governments are coming to grips with the impact of the demographic
shift on their ability to attract and retain technological talent.
A recent report by the Conference Board of Canada, written at the
request of Bell Canada, the country’s largest telecommunications
company, pointed out that a number of factors are at play: the aging
population, declining birth rates, and retiring boomers. The most
worrying trend of all, however, is the decline in enrollment in IT
programs at the post-secondary level.
Major companies in Canada are so concerned by the situation that they
have formed a coalition under the leadership of Bell Canada to rebuild
the pool of skilled IT workers in Canada. I recently attended a
presentation where a senior B- Canada executive announced this
initiative. He pointed out that this situation is not only prevalent
in Canada, but is increasingly felt in all developing countries. He
also noted that the impact on productivity is potentially enormous.
The failure to fill vacant IT positions in the next five years or so
could cost up to $ 10 billion to the Canadian economy. Imagine the
cost for larger economies such as Japan, the U.S., the U.K., and
Germany.
Global Resources
Already we can hear the clarion call to encourage young students to
enroll in IT programs and to increase immigration of skilled workers.
The most advanced countries, Germany, the U.S., and the U.K., have
already taken steps to encourage this type of immigration. The U.S.
has long been the rich kid in this regard, because of the magnetic
appeal of Silicon Valley for ambitious geeks from India, China, South
Korea, the Arab world, Canada, and Europe. However, there are
indications that the booming economies in India and China are leading
their abundant youth to stay put.
Global competition for skilled labor will only exacerbate the costs of
filling these positions. Because they came of age as the great dot-com
bubble burst, kids just out of high school also realize that
employment in the IT industry can be just as fickle as in any other.
They would also rather apply their creativity as IT users than as IT
creators. While immigration and university enrollment provide part of
the solution, there is a need for a long-term fix.
Un-Productivity
I believe the fix starts and ends with the same approach that has
always saved our economic hide in the past. Simply put, we have to
make knowledge work, and particularly IT work, much more productive.
We live in an era when, depending on the measure used, knowledge
workers make up more than 50 % of the active population. As Alvin and
Heidi Toffler point out in their book Revolutionary Wealth , even
machine operators spend most of their time monitoring computers.
Our most productive industry of all, agriculture, is dominated by
knowledge work, and that means farmers sitting in front of computers,
manipulating data over wireless networks and communicating with
tractors in the field by satellite link. The Associated Press reports
that new technology—everything from self-serve information kiosks and
self-serve checkout machines—has a major impact on productivity in the
retail sector. In the U.S., this has translated to 4.5 million less
jobs in retailing than if the technology had not been introduced.
These trends give an inkling of the productivity gains that are
possible though information technology. However, someone has to
program and maintain these computers and associated networks and
applications. Unfortunately, so much of this work is still mired in
mindless drudgery and woefully inefficient.
Moreover, end-users are still forced to wade through poorly designed
and complex applications in order to carry out the most mundane tasks.
While the IT industry has enabled massive productivity gains in other
sectors of the monetary and non-monetary economies, we have yet to
witness a concomitant increase in productivity in the IT sector.
We have to wonder how many IT and other knowledge workers would be
freed up for more productive IT employment if we could get our
collective act together on this. Let’s look at a few examples that
illustrate the un-productivity of IT (both true stories):
• I try to enter my address to sign up for a service online. The
database field has a limited number of character spaces, and the name
of my town is too long by a significant margin. The server repeatedly
refuses my attempts to get around this limitation. I end up having to
call and speak to a human being who then struggles in her turn with
the database.
In the end, she overrides it and puts in a much-shortened version of
the name of my town. This took about 30 minutes of my time (45 minutes
with the phone wait), and about 15 minutes of the help attendant’s
time. Total combined loss of work time for two smart people: 1 hour.
• I move province and change car insurer. As part of the process, the
new insurer sends an advisory to the lease financing company (Ford
Leasing). One month later, I get a letter from the leasing company
advising me that the insurance information needs to be updated. I call
them up and tell them that the insurance broker sent the information
one month earlier. They tell me they have no record of that in their
database. I re-fax them the insurance information, and so does my
insurance agent.
About a month and a half later, the same thing happens again. We go
through the process again. I’m going to cut this story short, because
we had to resubmit the insurance information four times in total, most
recently about a month ago. I spoke with my insurance agent about this
and she tells me this is a common occurrence, not just with Ford
Leasing, but also with a number of other companies.
I estimate the total work time lost over a six-month period by at
least three smart people at about three hours.
I could go on with this litany, but it’s tedious and quite
discouraging (and I’m sure we’ve all been through it more than once).
We now live in societies that are awash in data and information, where
we can find out about any topic we wish, whether through Google, by
buying an obscure or out-of-print book on Amazon, or by looking it up
on Wikipedia, yet the organizations handling our personal information
seem unable to do so productively, efficiently and effectively.
I’m not even getting into the fact the most of the software running
our networks is hopelessly complex and labyrinthine. It is no wonder
we aren’t able to attract enough people into the IT field and also
that we simultaneously misemploy them.
In Need of a Fix
What are some of the solutions to this productivity challenge? I don’t
pretend to have the technical know-how to resolve the problems, but I
can propose some ideas for how we might improve the situation, and
thus free up smart people to be real knowledge workers, i.e., using
computers to do something interesting, rather than computer and
network servants.
I think the first possibility somehow revolves around the organization
of the information and data. There is no lack of information. It just
seems hard to access and to ensure it is reliably warehoused for
future reference. The two examples I gave above are actually instances
of this problem. The solution may reside in the counter-examples I
provided. Google and Amazon provide access to enormous amounts of
relevant information, one through the Web, and the other through its
proprietary databases. What’s more, they seem to do it effortlessly.
Indeed, according to a recent article in Business Week, Google,
Amazon, and Yahoo have started to make their “computing clouds”—armies
of remote servers—available to outsiders, in some cases commercially.
IBM has agreed to team up with Google to create clouds for a number of
top-notch academic institutions that will help to crunch mountains of
data for research purposes. The obvious implication is that automation
of research functions traditionally carried out by the researchers
themselves, or simply not done because of the apparent intractability
of problems, will now be carried out automatically, thus freeing the
researchers to focus on higher value-added tasks.
What would happen if this artificial-intelligence based paradigm were
to extend to all forms of knowledge work? Knowledge workers could use
computers and intelligent networks running advanced problem solving
algorithms to put better information at their fingertips. Help desk
attendants would have access to intelligent software agents that can
resolve issues based on questions by users.
Better yet would be data and information collection systems that end
users could interact with directly. If a town’s name is longer than
average, the application would be flexible enough to recognize that
and self-adjust, even learning in the process. The same types of
algorithms that are used by Google and others to adjust and
personalize Web ads could be used to personalize user interfaces by
various categorization schemes such as demographics, usage patterns,
and work needs.
This also leverages the fact that consumers and system users
increasingly prefer to do their own purchasing and other functions
directly, without the involvement of intermediaries. The productivity
improvements of extending the Amazon shopping paradigm to a vast array
of economic and work-oriented functions are potentially huge. This
leads to a second possibility for increasing IT productivity.
Giving Up Control
Companies and other organizations would do well to give as much
flexibility and control as possible to consumers. This entails better
software design, more advanced artificial intelligence, more ergonomic
interfaces, superb systems integration and absolute ease of use. These
technological advances would attract and retain more customers, and
also reduce the need for skilled or semi-skilled workers to maintain
systems and interact with customers.
The best example of this vision is, of course, how Apple has managed
to create extremely powerful consumer applications that wonderfully
integrate hardware, software, and intelligent functionality. Just look
at Time Machine, the new backup utility in Mac OS X Leopard. You plug
in the backup device (e.g., an external hard drive) and select it in a
menu that pops up automatically. Voilà! You’ve set up your computer
for home backup. If you need to access backed up information for
whatever reason, you just click on the Time Machine icon on the
desktop, and the screen changes to a depiction of the file finder
application at various points in the past. Select the time point you
want, select the file you want, and it is automatically restored.
What if networks and databases could be configured, maintained and
accessed using analogous approaches? Organizations could then redirect
programmers and systems administrators to higher value added tasks and
functions. Users would interact directly with applications and gain
greater control over their data and information.
We have to start thinking of how to make IT work as productive as
possible, not just for the end user, but also for the masses of
programmers, analysts, system administrators and network managers.
These are only initial ideas of how computers and networks could be
used more productively. The need is already great, and will only grow
greater in the years ahead. If we don’t start acting now, then we will
be in an even tighter squeeze down the road as the changing
demographics of advanced societies make workers even more of a rarity.
The IT sector has benefited from its novelty and the challenge it
offers to creative young people for decades—ever since the invention
of the PC really—but now it must face the demographic music just like
every other sector of the economy. Increasing the productivity of
knowledge work is a necessity, but drastic increases in the
productivity of IT work are even more critical to our continued
economic growth and to creation of wealth and quality of life.
Global Information Technology Management Association(GITMA)
ปริญญาโท MASTER OF BUSINESS ADMINISRATION MBA. มหาวิทยาลัย นอร์ท-เชียงใหม่ ทำไมต้อง Global Management
ความสำคัญมีอะไรบ้าง Global Management
ผมได้อะไร จาก Global Management
การทำงานที่มี Global Management
เป็นหัวใจการบริหาร
ผลงานที่มีแต่ความสำเร็จ
The Productivity of Technology is in the organization
By Dr.Samai Hemman ,DBA in Global Management
The Productivity of Technology is in the organization
By Samai Hemman,DBA in Global Management
The human resources future looks bleak for the IT industry. Why?
Because of a lack of skilled labor. That’s right. Companies and
governments are coming to grips with the impact of the demographic
shift on their ability to attract and retain technological talent.
A recent report by the Conference Board of Canada, written at the
request of Bell Canada, the country’s largest telecommunications
company, pointed out that a number of factors are at play: the aging
population, declining birth rates, and retiring boomers. The most
worrying trend of all, however, is the decline in enrollment in IT
programs at the post-secondary level.
Major companies in Canada are so concerned by the situation that they
have formed a coalition under the leadership of Bell Canada to rebuild
the pool of skilled IT workers in Canada. I recently attended a
presentation where a senior B- Canada executive announced this
initiative. He pointed out that this situation is not only prevalent
in Canada, but is increasingly felt in all developing countries. He
also noted that the impact on productivity is potentially enormous.
The failure to fill vacant IT positions in the next five years or so
could cost up to $ 10 billion to the Canadian economy. Imagine the
cost for larger economies such as Japan, the U.S., the U.K., and
Germany.
Global Resources
Already we can hear the clarion call to encourage young students to
enroll in IT programs and to increase immigration of skilled workers.
The most advanced countries, Germany, the U.S., and the U.K., have
already taken steps to encourage this type of immigration. The U.S.
has long been the rich kid in this regard, because of the magnetic
appeal of Silicon Valley for ambitious geeks from India, China, South
Korea, the Arab world, Canada, and Europe. However, there are
indications that the booming economies in India and China are leading
their abundant youth to stay put.
Global competition for skilled labor will only exacerbate the costs of
filling these positions. Because they came of age as the great dot-com
bubble burst, kids just out of high school also realize that
employment in the IT industry can be just as fickle as in any other.
They would also rather apply their creativity as IT users than as IT
creators. While immigration and university enrollment provide part of
the solution, there is a need for a long-term fix.
Un-Productivity
I believe the fix starts and ends with the same approach that has
always saved our economic hide in the past. Simply put, we have to
make knowledge work, and particularly IT work, much more productive.
We live in an era when, depending on the measure used, knowledge
workers make up more than 50 % of the active population. As Alvin and
Heidi Toffler point out in their book Revolutionary Wealth , even
machine operators spend most of their time monitoring computers.
Our most productive industry of all, agriculture, is dominated by
knowledge work, and that means farmers sitting in front of computers,
manipulating data over wireless networks and communicating with
tractors in the field by satellite link. The Associated Press reports
that new technology—everything from self-serve information kiosks and
self-serve checkout machines—has a major impact on productivity in the
retail sector. In the U.S., this has translated to 4.5 million less
jobs in retailing than if the technology had not been introduced.
These trends give an inkling of the productivity gains that are
possible though information technology. However, someone has to
program and maintain these computers and associated networks and
applications. Unfortunately, so much of this work is still mired in
mindless drudgery and woefully inefficient.
Moreover, end-users are still forced to wade through poorly designed
and complex applications in order to carry out the most mundane tasks.
While the IT industry has enabled massive productivity gains in other
sectors of the monetary and non-monetary economies, we have yet to
witness a concomitant increase in productivity in the IT sector.
We have to wonder how many IT and other knowledge workers would be
freed up for more productive IT employment if we could get our
collective act together on this. Let’s look at a few examples that
illustrate the un-productivity of IT (both true stories):
• I try to enter my address to sign up for a service online. The
database field has a limited number of character spaces, and the name
of my town is too long by a significant margin. The server repeatedly
refuses my attempts to get around this limitation. I end up having to
call and speak to a human being who then struggles in her turn with
the database.
In the end, she overrides it and puts in a much-shortened version of
the name of my town. This took about 30 minutes of my time (45 minutes
with the phone wait), and about 15 minutes of the help attendant’s
time. Total combined loss of work time for two smart people: 1 hour.
• I move province and change car insurer. As part of the process, the
new insurer sends an advisory to the lease financing company (Ford
Leasing). One month later, I get a letter from the leasing company
advising me that the insurance information needs to be updated. I call
them up and tell them that the insurance broker sent the information
one month earlier. They tell me they have no record of that in their
database. I re-fax them the insurance information, and so does my
insurance agent.
About a month and a half later, the same thing happens again. We go
through the process again. I’m going to cut this story short, because
we had to resubmit the insurance information four times in total, most
recently about a month ago. I spoke with my insurance agent about this
and she tells me this is a common occurrence, not just with Ford
Leasing, but also with a number of other companies.
I estimate the total work time lost over a six-month period by at
least three smart people at about three hours.
I could go on with this litany, but it’s tedious and quite
discouraging (and I’m sure we’ve all been through it more than once).
We now live in societies that are awash in data and information, where
we can find out about any topic we wish, whether through Google, by
buying an obscure or out-of-print book on Amazon, or by looking it up
on Wikipedia, yet the organizations handling our personal information
seem unable to do so productively, efficiently and effectively.
I’m not even getting into the fact the most of the software running
our networks is hopelessly complex and labyrinthine. It is no wonder
we aren’t able to attract enough people into the IT field and also
that we simultaneously misemploy them.
In Need of a Fix
What are some of the solutions to this productivity challenge? I don’t
pretend to have the technical know-how to resolve the problems, but I
can propose some ideas for how we might improve the situation, and
thus free up smart people to be real knowledge workers, i.e., using
computers to do something interesting, rather than computer and
network servants.
I think the first possibility somehow revolves around the organization
of the information and data. There is no lack of information. It just
seems hard to access and to ensure it is reliably warehoused for
future reference. The two examples I gave above are actually instances
of this problem. The solution may reside in the counter-examples I
provided. Google and Amazon provide access to enormous amounts of
relevant information, one through the Web, and the other through its
proprietary databases. What’s more, they seem to do it effortlessly.
Indeed, according to a recent article in Business Week, Google,
Amazon, and Yahoo have started to make their “computing clouds”—armies
of remote servers—available to outsiders, in some cases commercially.
IBM has agreed to team up with Google to create clouds for a number of
top-notch academic institutions that will help to crunch mountains of
data for research purposes. The obvious implication is that automation
of research functions traditionally carried out by the researchers
themselves, or simply not done because of the apparent intractability
of problems, will now be carried out automatically, thus freeing the
researchers to focus on higher value-added tasks.
What would happen if this artificial-intelligence based paradigm were
to extend to all forms of knowledge work? Knowledge workers could use
computers and intelligent networks running advanced problem solving
algorithms to put better information at their fingertips. Help desk
attendants would have access to intelligent software agents that can
resolve issues based on questions by users.
Better yet would be data and information collection systems that end
users could interact with directly. If a town’s name is longer than
average, the application would be flexible enough to recognize that
and self-adjust, even learning in the process. The same types of
algorithms that are used by Google and others to adjust and
personalize Web ads could be used to personalize user interfaces by
various categorization schemes such as demographics, usage patterns,
and work needs.
This also leverages the fact that consumers and system users
increasingly prefer to do their own purchasing and other functions
directly, without the involvement of intermediaries. The productivity
improvements of extending the Amazon shopping paradigm to a vast array
of economic and work-oriented functions are potentially huge. This
leads to a second possibility for increasing IT productivity.
Giving Up Control
Companies and other organizations would do well to give as much
flexibility and control as possible to consumers. This entails better
software design, more advanced artificial intelligence, more ergonomic
interfaces, superb systems integration and absolute ease of use. These
technological advances would attract and retain more customers, and
also reduce the need for skilled or semi-skilled workers to maintain
systems and interact with customers.
The best example of this vision is, of course, how Apple has managed
to create extremely powerful consumer applications that wonderfully
integrate hardware, software, and intelligent functionality. Just look
at Time Machine, the new backup utility in Mac OS X Leopard. You plug
in the backup device (e.g., an external hard drive) and select it in a
menu that pops up automatically. Voilà! You’ve set up your computer
for home backup. If you need to access backed up information for
whatever reason, you just click on the Time Machine icon on the
desktop, and the screen changes to a depiction of the file finder
application at various points in the past. Select the time point you
want, select the file you want, and it is automatically restored.
What if networks and databases could be configured, maintained and
accessed using analogous approaches? Organizations could then redirect
programmers and systems administrators to higher value added tasks and
functions. Users would interact directly with applications and gain
greater control over their data and information.
We have to start thinking of how to make IT work as productive as
possible, not just for the end user, but also for the masses of
programmers, analysts, system administrators and network managers.
These are only initial ideas of how computers and networks could be
used more productively. The need is already great, and will only grow
greater in the years ahead. If we don’t start acting now, then we will
be in an even tighter squeeze down the road as the changing
demographics of advanced societies make workers even more of a rarity.
The IT sector has benefited from its novelty and the challenge it
offers to creative young people for decades—ever since the invention
of the PC really—but now it must face the demographic music just like
every other sector of the economy. Increasing the productivity of
knowledge work is a necessity, but drastic increases in the
productivity of IT work are even more critical to our continued
economic growth and to creation of wealth and quality of life.
Global Information Technology Management Association(GITMA)
เขียนโดย ดร.สมัย เหมมั่น
ประวัติย่อ ดร.สมัย เหมมั่น
ดร.สมัย เหมมั่น และท่าน อาจารย์ที่ปรึกษา ศ.ดร. เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์
โครงการหมู่บ้านจัดสรร ทุกโครงการ
ประวัติย่อ ดร.สมัย เหมมั่น
ชื่อ : ดร.สมัย เหมมั่น โทร 081-491-2346 Fax 02801-0668
Mail : maikub11@hotmail.com. หรือ http://www.siwarat.com/ ดร. สมัย เหมมั่น หมู่บ้านสิวารัตน์
กลุ่มสาวิชา : ครุศาสตร์, อุสาหกรรมศาสตร์, บริหารธุรกิจ, มหาบัณฑิต
อาชีพปัจจุบัน : ที่รอง กรรมการผู้จัดการบริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเตท จำกัด
โครงการหมู่บ้าน สิวารัตน์ (ทุกโครงการ) 02-801-1802-6
สัญชาติ : ไทย
เชื้อชาติ : ไทย
ศาสนา : พุทธ
วันเกิด : ธันวาคม 2511 ณ. จ.เพชรบูรณ์
เป็นบุตรคนที่ : 5 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน
บิดา : นายชุน แสงมณี ค้าขาย
มารดา : นางทองม้วน แสงมณี ค้าขาย
ที่อยู่ปัจจุบัน : 50/30 ม.9 ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
การศึกษา :
โรงเรียนบ้านโสก (สิวิลัยราชบำรุง) ป.6 จ.เพชรบูรณ์ 2522
โรงเรียนหล่มสักวิทยาคม ม.6 จ.เพชรบูรณ์ 2528
วิทยาลัยโปลี่เทคนิค (ปวท.) ก่อสร้าง
ปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต (คบ) วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์
ปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต (คบ) วิทยาลัยครูเพชรบูรณ์
ปริญญาตรี อุสาหกรรมศาสตร์บัณฑิต ( อศ.บ.) วิศวกรรมโยธา
ปริญญาโท MASTER OF BUSINESS ADMINISRATION MPA.(MAJOR :PUBLIC ADMINISTRATION).
ปริญญาโท MASTER OF BUSINESS ADMINISRATION MPA.(MAJOR :PUBLIC ADMINISTRATION).
ปริญญาเอก DOCTOR OF BUSINESS ADMINISTRATION DBA. IN GLOBAL MANAGEMENT
ผลงาน การวิจัยธุรกิจ และแผนธุรกิจ
1. ผลงานวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัท สี่พระยาจำกัด โครงการสิวารัตน์ เรื่อง ปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในเขต อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ปี 2536
2.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัท เสริมกิจพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เรื่อง ปัจจัยการเลือกซื้อบ้านที่อยู่อาศัยในเขต อ.สามพราน จ.นครปฐม ปี2537
3.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เพชรเกษม -เทศบาลอ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาครปี 2538
4.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน ในซอย ในเขตอำเภอสามพราน จ.นครปฐม ปี 2539
5.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เพชรเกษม -เทศบาลอ้อมน้อย-เทศบาลอ้อมใหญ่ ปี 2540
6.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เทศบาลไร่ขิ่ง ปี 2545
7.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เทศบาลกระทุ้มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ปี 2546
8.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ มีเนื้อที่ 24 ตรว.หน้ากว้าง 6 เมตร ในเขต อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ปี 2548
9.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดโรงงานอุสาหกรรม ในเขต เทศบาล อ้อมใหญ่ เทศบาล อ้อมน้อยและเทศบาลไร่ขิง ปี 2550
10..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ มีเนื้อที่ 24 ตรว.หน้ากว้าง 6 เมตร ในเขต อ.เมือง จ.นครปฐม ปี 2552
11..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ บ้านแฝด 2 ชั้น มีเนื้อที่36ตรว.หน้ากว้าง 9 เมตร ในเขต อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ปี 2553
12..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภท อาคารชุด (คอนโด) ในเขต ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ปี 2551
ประวัตการทำงาน
พ.ศ. 2534 ผู้จัดการโครงการ โครงการ วัชระธานี สาย.2 บริษัท
1. ผลงานวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัท สี่พระยาจำกัด โครงการสิวารัตน์ เรื่อง ปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในเขต อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ปี 2536
2.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัท เสริมกิจพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เรื่อง ปัจจัยการเลือกซื้อบ้านที่อยู่อาศัยในเขต อ.สามพราน จ.นครปฐม ปี2537
3.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เพชรเกษม -เทศบาลอ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาครปี 2538
4.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน ในซอย ในเขตอำเภอสามพราน จ.นครปฐม ปี 2539
5.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เพชรเกษม -เทศบาลอ้อมน้อย-เทศบาลอ้อมใหญ่ ปี 2540
6.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เทศบาลไร่ขิ่ง ปี 2545
7.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดถนน เทศบาลกระทุ้มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ปี 2546
8.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ มีเนื้อที่ 24 ตรว.หน้ากว้าง 6 เมตร ในเขต อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ปี 2548
9.ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่โครงการจัดสรร ติดโรงงานอุสาหกรรม ในเขต เทศบาล อ้อมใหญ่ เทศบาล อ้อมน้อยและเทศบาลไร่ขิง ปี 2550
10..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ มีเนื้อที่ 24 ตรว.หน้ากว้าง 6 เมตร ในเขต อ.เมือง จ.นครปฐม ปี 2552
11..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ บ้านแฝด 2 ชั้น มีเนื้อที่36ตรว.หน้ากว้าง 9 เมตร ในเขต อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ปี 2553
12..ผลงานการวิจัยเพื่อธุรกิจอสังหาฯ ของ บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด เรื่อง สาเหตุและปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภท อาคารชุด (คอนโด) ในเขต ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ปี 2551
ประวัตการทำงาน
พ.ศ. 2534 ผู้จัดการโครงการ โครงการ วัชระธานี สาย.2 บริษัท
วัชระจิตร คอน สตัทชั่น จำกัด
พ.ศ.2536 -2543 วิศวกรโครงการ สิวารัตน์ 1 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
บริษัท สี่พระยา จำกัด
-วิศวกร โครงการ สิวารัตน์ 2 ต.ไร่ขิ่ง อ.สามพราน จ.นครปฐม
บริษัท เสริมกิจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
- ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการ สิวารัตน์ 3 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน
บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
- ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการ สิวารัตน์ 3 ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน
บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
- ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการ สิวารัตน์ 4 ต.บางช้าง อ.สามพราน จ.นครปฐม
บริษัท ซัน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการสิวารัตน์ 5 ต.กระทุ้มล้ม อ.สามพราน จ. นครปฐม
บริษัท คาสเซ่อร์ เรียลเอส จำกัด
บริษัท ซัน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โครงการสิวารัตน์ 5 ต.กระทุ้มล้ม อ.สามพราน จ. นครปฐม
บริษัท คาสเซ่อร์ เรียลเอส จำกัด
พ.ศ.2544 – 2553
ที่ปรึกษา กรรมการผู้จัดการบริษัท เอกธนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดโครงการสิวารัตน์
โครงการต่อเนื่อง โครงการสิวารัตน์ 5/1 และ 5/2 และ 5/3
-รองกรรมการผู้จัดการจัดการบริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
โครง การสิวารัตน์ 6 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม
- รองกรรมการผู้จัดการบริษัท คาสเซ่อร์พีค โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
โครงการ สิวารัตน์ 7,8 ต.ยายชา อ.สามพราน จ.นครปฐม
รองกรรมการ ผู้จัดการบริหารสูงสุด
บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
รองกรรมการ ผู้จัดการบริหารสูงสุด
บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
พ.ศ. 2544 - ปัจจุบัน
หน้าที่สูงสุด 1.งานบริหารการจัดการและให้คำแนะนำกรรมการบริหารใน บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
2.งานบริหารการจัดการให้คำแนะนำกรรมการบริหารทุกบริษัทในเครือ บริษัทฯ(มหาชน)
บริษัท คาสเซ่อร์ พีคโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจ จัดสรรที่ดิน ในแบรน สิวารัตน์ (ทุกโครงการ)
หน้าที่พิเศษ ได้รับการแต่งตั้งเป็น
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดินภาคผู้ประกอบการในจังหวัด พ.ศ.2554 - 2556 วาระ 2 ปี
ที่ตั้ง บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด 899 ถนนเพชรเกษม แขวง บางแค เขต บางแค กรุงเทพมหานคร โทร 02-801-1802-6 FAX 02-801-0668 0814912346
Mail: maikub11@hotmail.com
ข้าพเจ้า ดร.สมัย เหมมั่น ขอรับรองเอกสารว่าเป็นความจริงทุกประการ
ขอแสดงความนับถือ
เขียนโดย ดร.สมัย เหมมั่น
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
ท่านประธาน คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดิน
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดิน
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดิน
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดิน
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการจัดสรรที่ดินจังหวัด นครปฐม
ด้านผู้มีความชำนาญการบริหารธุรกิจพัฒนาการจัดสรรที่ดิน
ดร.สมัย เหมมั่น
บล็อกของฉัน
- แผนงานการบริหารโ... สิวารัตน์ 10และ11และ 12
- มหาวิทยาลัยนอร์ท... North-Chiang Mai University.
- นอร์ท-เชียงใหม่ North-Chiang Mai University.
- โครงการสิวารัตน์ 10 โครงการบางเลน-ลา...
- ดร. สมัย เหมมั่น Dr.Samai Hemman
- สิวารัตน์ ราคาประหยัด มีคุณภาพ
- ดร.สมัย
- โครงการสิวารัตน์ 10 ทำเลดีมาก บางเลน
- นอร์ท-เชียงใหม่ North-Chiang Mai University.
- Dr.Global Management
- มหาบัณฑิตมหาวิทย...
- วิเคราะห์ปัจจัยก... สิวารัตน์
- มหาวิทยาลัยนอร์ท... North-Chiang Mai University.
- North-Chiang Mai University.
- ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการจัดสรร...
- บริษัท คาสเซ่อร์พีค เรียลเอสเตท จำกัด
บล็อกที่ฉันติดตาม
อุตสาหกรรม | บริการทางธุรกิจ |
---|---|
อาชีพ | ธุรกิจ/ ขยายโอกาสการศึกษา |
ตำแหน่งที่ตั้ง | บางแค, กรุงเทพฯ, ไทย |
แนะนำตัว | DBA in Global Management RUniversity |
ความสนใจ | ศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยและนวัตกรรมการก่อสร้าง ที่ส่งเสริมให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัย น่าอยู่ แข็งแรง ทนต่อภัยธรรมชาติทุกประการ ตอบสนองการศึกษา ของผู้มีองค์ความรู้ เผยแพร๋บทความที่น่าสนใจ |
ภาพยนตร์เรื่องโปรด | ที่มาของ ภัยธรรมชาติ |
ดนตรีโปรด | กีต้า |
หนังสือโปรด | การบริหารจัดการ กลยุทธ์ ต่างๆ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)